รีวิวหนัง Phases of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ ความท้าทายที่ก่ำกึ้งอยู่ระหว่างตรงกลาง

รวมทั้งนี่คืออีกหนึ่งหนัง ที่มาพร้อมทั้งพล็อตสไตล์คนระลึกชาติ แต่ครั้งนี้มาในคราบของหนังญี่ปุ่น ที่ถือได้ว่าเป็นหนังอีกหนึ่ง ดาวเด่นด้านรางวัลต่างๆ ในปีที่ผ่านมาของญี่ปุ่น นี่คือ “Phases of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ”

ที่ไม่รู้จะบัญญัติองค์ประกอบของหนังเรื่องนี้ เอาไว้ว่าอย่างไรดี เพราะว่ามันทั้งส่วนผสม ของความดราม่า ความโรแมนติก ความอบอุ่นแบบครอบครัว และก็ความแฟนตาซี ที่พาไปสุดโต่ง กับแนวคิดที่พยายามทำงาน กับผู้ชมอย่างมาก กลั่นกรองออกมา เป็นหนังที่เต็มไปด้วยความท้าทายตลอดทั้ง 2 ชั่วโมงของเรื่องนี้

เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ นางเอก

Phases of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ คือเรื่องราวของครอบครัวโอซานาอิ

ที่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสุขสบาย แต่ว่าแล้วภรรยาและก็บุตรสาว ก็ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ วันหนึ่งชายปริศนา อะกิฮิโกะ มิซุมิ ได้เดินทางมาหา เคย์ โอซานาอิ ที่เป็นพ่อของ รูริ และก็บอกกับเขาว่า

ในวันที่เขาเสียภรรยา แล้วก็ลูกสาวไป ทั้งสองคนได้มาหาเขา และก็ รูริ ได้บอกเขาว่า ตนเองเคยเป็นคนรักของเขา เมื่อชาติที่แล้ว ทำให้ เคย์ สับสนแล้วก็ออกตามหาความจริง เหล่าผู้คนที่ไม่ได้ มีความเกี่ยวข้องกัน ได้ถูกเชื่อมต่อด้วยสิ่งที่เรียกว่า ความรัก ความจริงที่ผ่านการ เดินทางมากับห้วงเวลา หลายทศวรรษ กำลังจะถูกเปิดเผย

นี่คือผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ “ริวอิจิ ฮิโรกิ” รุ่นใหญ่มากความสามารถที่คนไทย คงจะรู้จักเขาจากหนังแฟนตาซีเรื่องดัง The Miracles of the Namiya General Store นั่นเอง แน่ๆ ว่าเหมือนเขาจะหยิบเอากลิ่นอายของหนัง ชิ้นเยี่ยมเรื่องดังกล่าวมาผสมผสาน ร้อยเรียงเข้ากับใน Phases of the Moon เรื่องนี้ไม่มากก็น้อย โดยได้ “ฮิโรชิ ฮาชิโมโตะ” มือเขียนบทจากหนังวีรบุรุษสุดโต่ง Inuyashiki มาดัดแปลงบทให้ ที่อิงมาจากต้นฉบับ นิยายขายดีของ “โชโกะ ซาโตะ” ที่ตีพิมพ์ในปี 2017

ในแง่องค์ประกอบงานสร้างนั้น Phases of the Moon ทำออกมาได้ค่อนข้างจะน่าพึงพอใจ แม้ว่าบรรยากาศโดยรวมๆ แล้วนั้นจะค่อนข้างจะเป็นสูตรสำเร็จ ในหลายจุดก็ตาม ทั้งยังแอบรู้สึกเสียดาย

กับการให้รายละเอียดเกี่ยวกับยุคสมัย ที่เป็นฉากหลังของหนัง ได้ยังไม่คมคายสักเท่าไหร่นัก ยังไม่ค่อยมีเสน่ห์ความเก่าของยุค 80s หรือ 90s ที่เป็นเส้นเรื่องเด่น ของหนังมากนัก ซึ่งจุดนี้เองก็พลอย ทำให้ผู้ชมบางทีอาจจะรู้สึกสับสน ระหว่างการร้อยเรียงเรื่องได้

ในขณะที่ในส่วนบทหนังนั้น ถือได้ว่าเป็นงานที่ออกจะท้าทายอยู่ไม่น้อย กับการจะต้องสังเขปเรื่องนี้ ที่น่าเหลือเชื่อ และก็เล่นกับความเชื่อส่วนบุคคลของผู้ชม ในเวลาอันมีจำกัดเพียง 2 ชั่วโมงของหนัง แม้กระนั้นนับว่าบทหนังค่อนข้างจะช่วยพยุง ตัวเรื่องเอาไว้ได้ดี

ในด้านของการเก็บรายละเอียด รายทางในจุดต่างๆ ของเรื่องเอาไว้ได้ให้ ถึงในส่วนของงาน สร้างจะทำออกมาไม่คมมากนัก แต่ว่าบทก็ยื่นมือเข้า มาประคองไว้ อาจจะยังไม่ใช่บทหนัง ที่สมบูรณ์อะไร ด้วยเหตุว่ายังเต็มไปด้วยจุดโหว่ รสฝาดๆ อยู่บ้าง แต่ว่าก็ยังพอช่วยให้เส้นเรื่องของหนังเดินไปได้

เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ ย้อน

อาจจะต้องกล่าวว่า Phases of the Moon มีโจทย์ใหญ่ที่ออกจะท้าทายมาก

รวมทั้งในท้ายที่สุดแล้ว หนังที่พยายามทำอย่างเต็มที่ เพื่อชี้แจงและถ่ายทอดข้อความ ที่แสนจะตะขิดตะข่วง ในแนวคิดของผู้ชม ผลลัพธ์ออกมายังรู้สึก เพลย์เซฟไปสักหน่อย กลายเป็นความท้าทาย ที่ยังอยู่ในท่วงท่าที่ก่ำกึ่ง จะไปทางนั้นก็ยังไม่สุด จะไปทางนี้ก็ยังไม่ถึง ก็รู้อย่างถ่องแท้ว่า โจทย์ค่อนข้างจะยาก โดยเฉพาะอย่างช่วงท้ายของเรื่องนี้ ที่สัมผัสได้ถึงความพยายาม ที่จะหาจุดลงจอด ให้กับหนังเช่นไร ให้มีความงดงามที่สุดเท่าที่จะทำได้

ระหว่างที่มอง Phases of the Moon อาจจะมีบางมุมทำให้ นึกถึงสไตล์หนังแบบหนัง เรื่องสุดคลาสสิก “Bungee Jumping of Their Own” (หรือ ดิว ไปด้วยกันนะ ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ไทย) ด้วยประเด็นที่คล้ายๆกัน หรือในคำเฉพาะจะบัญญัติว่าเป็นประเภท Twin Flame อะไรทำนองนั้น

แม้ว่าจะไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่นัก เพราะเหตุว่าผู้ชมคงจะเคยดูเรื่องราวอย่างงี้ มาก่อนเช่นกัน แต่ในหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้ ออกจะลงลึกในรายละเอียด และก็อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมากเป็นพิเศษ เป็นแฟนตาซี ที่อยู่บนพื้นฐานของความดราม่า

และที่สุดส่วนประกอบที่ดีเลิศที่สุดของหนัง Phases of the Moon ก็ต้องยกให้การแสดง ของทีมแคสติ้งทั้งเรื่องนี้ ที่นักแสดงทุกคนต่างแสดงบทบาท และรับหน้าที่ของตนเอง ได้อย่างน่าประทับใจ

โดยเฉพาะอย่าง “โย โอซึมิ” ที่มอบการแสดงที่ถึงขนาด ล่ารางวัลได้สบายๆ เป็นตัวละครที่เหมือนเป็นผู้แทนความรู้สึกของผู้ชมโดยแท้จริง ท่ามกลางความสับสน ที่ต้องการจะเชื่อแต่ก็เชื่อไม่ลง จนกระทั่งความจริงมาปรากฏ ให้พิสูจน์อยู่ตรงหน้า แล้วก็เขาก็เล่นซีนอารมณ์ได้ดีจัด

ช่วงเวลาที่ “คาซึมิ อะริมูระ” ก็เล่นได้ดีไม่น้อย นี่แหละมือโปรของจริง บทบาทที่เธอได้รับนั้น เป็นกุญแจสำคัญ ที่สุดของเรื่อง และก็จัดว่าคาแรกเตอร์ที่เต็ม ไปด้วยมิติซับซ้อนเป็นอย่างดี และก็ยังน่าประทับใจ

ที่หนังค่อยๆ ปลดล็อกมุมต่างๆ ด้วยการใช้ตัวละครนี้ เป็นจุดเชื่อมที่สำคัญ ทางด้าน “เรน เมกุโระ” พระเอกสุดฮอต ที่ถือว่าหนังเรื่องนี้ เป็นการแสดงหนังเรื่องแรก ในชีวิตของเขา ก็นับว่าทำออกมาใช้ได้ทีเดียว ถึงแม้ว่าบทที่เขาได้นั้น จะขัดใจนิดหน่อย ตรงที่ไม่ค่อยมีแอร์ไทม์ให้ถ่ายทอดมิติ สักเท่าไหร่ แต่ว่าถือว่าเขาก็เดบิวต์ ได้สวยกับวงการหนัง

เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ บ้าน

จะว่าโดยสรุปแล้วนั้น Phases of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ

เป็นหนังที่ยังให้อารมณ์ ความรู้สึกหลังจากที่จบ แล้วในทิศทางที่ยังก่ำกึ่งๆ อยู่ดี เนื่องจากว่าการร้อยเรียง เรื่องราวของหนังนั้น มีทั้งหมดที่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยังมีมุมที่ยาก จะเหลือเชื่อเช่นเดียวกัน

แต่ว่านับว่าหนังถ่ายทอด ออกมาได้ค่อนข้างคมคาย กว่าหนังแนวๆ นี้มี่เคยได้ดูมา เพราะอย่างน้อยๆ ก็สร้างคลายล็อก อะไรบางต้องการที่คนดูต้องการจะเห็น ได้อย่างไม่อ้อมค้อม

นี่บางทีอาจไม่ใช่หนังดราม่า แฟนตาซีที่ฟูมฟายอะไร เป็นเพียงแค่เรื่องราวชีวิต ที่แสนลำเข็ญของคนหนึ่ง ที่อยู่บนพื้นฐานของความเหลือเชื่อ แต่ว่าในขณะเดียวกันนั้น ก็ยังเชื่อมโยง และร้อยเรียงเข้ากับความสัมพันธ์ ที่แนบแน่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อช่วงเวลาผ่านไป

แน่ๆว่า สิ่งหนึ่งที่จะทำปฏิกิริยา กับผู้ชมได้แน่ๆ ก็คือความผูกพัน ระหว่างสายใยครอบครัว ให้ตายสิทุกซีนที่เป็นฉาก พ่อแม่ลูกของเรื่องนี้ ถึงมันจะละมุนอบอุ่นดี แต่ก็ทำน้ำตาคลอ ได้ทุกฉากเลยจริง ๆ